top of page

ภาษากาย (Body Language) ความหมายที่มากกว่าคำพูด

ภาษากายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารที่ส่งผลต่อความเข้าใจและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล นักจิตวิทยาด้านการสื่อสารอย่าง Albert Mehrabian ได้เสนอว่า

93% ของการสื่อสาร มาจากน้ำเสียงและภาษากาย ขณะที่คำพูดมีผลเพียง 7% เท่านั้น สิ่งนี้หมายความว่า “ท่าทาง สายตา และการเคลื่อนไหวร่างกาย สามารถส่งผลกระทบต่อความรู้สึกและการรับรู้ของผู้อื่น ได้มากกว่าสิ่งที่เราพูดออกมา”

แม้ว่าคนเราจะสามารถตีความภาษากายได้โดยสัญชาตญาณ แต่การเข้าใจหลักจิตวิทยาเบื้องหลังพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถอ่านพฤติกรรมของผู้อื่นได้แม่นยำขึ้น และสามารถควบคุมภาษากายของตนเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ



สมอง อารมณ์ และการอ่านภาษากาย

ภาษากายไม่ใช่เพียงการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่เป็นกระบวนการสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับสมองและอารมณ์ของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ในแต่ละวัน เราแปลความหมายของท่าทางและสีหน้าของผู้อื่นอย่างไม่รู้ตัว สมองของเราตีความภาษากายเหล่านี้ผ่านกระบวนการที่ซับซ้อน และอารมณ์ก็มีผลต่อวิธีที่เราสื่อสารผ่านร่างกายของเราเช่นกัน ดังนั้น การเข้าใจการทำงานของสมองและอารมณ์จะช่วยให้เราสามารถอ่านพฤติกรรมของผู้อื่นได้อย่างแม่นยำขึ้น และควบคุมการแสดงออกของตัวเองได้ดีขึ้น


สมองกับการตีความภาษากาย

สมองของมนุษย์สามารถประมวลผลภาษากายได้โดยอัตโนมัติผ่าน ลิมบิกซิสเต็ม (Limbic System) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของอารมณ์และสัญชาตญาณ เมื่อเราเห็นภาษากายของผู้อื่น สมองจะตีความข้อมูลนั้นทันทีและส่งผลต่อการรับรู้ความตั้งใจและอารมณ์ของบุคคลนั้น

ตัวอย่าง: หากมีคนกำลังพูดกับเราโดยกอดอกและหลบตา สมองของเรามักจะตีความว่าเขาอาจไม่เปิดใจหรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูด แม้ว่าบางครั้งเขาอาจเพียงแค่รู้สึกหนาวหรือกำลังคิดอะไรบางอย่างก็ตาม


อารมณ์และภาษากาย

อารมณ์ส่งผลต่อภาษากายโดยตรง เช่น เมื่อเรามั่นใจ เราจะยืนตัวตรงและสบตา แต่เมื่อเรารู้สึกเครียด เราอาจมีพฤติกรรมเช่น ขยับตัวบ่อย ๆ หรือกอดอก นอกจากนี้ Micro-expressions หรือสีหน้าที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาทียังสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์ที่แท้จริงของคน ๆ นั้น แม้ว่าจะพยายามปกปิดก็ตาม

แบบฝึกหัด: ลองสังเกตภาษากายของตัวเองเวลาที่คุณรู้สึกมั่นใจและเวลาที่คุณรู้สึกกังวล เปรียบเทียบความแตกต่างของท่าทางและพฤติกรรมของคุณ แล้วลองฝึกเปลี่ยนภาษากายให้แสดงออกถึงความมั่นใจมากขึ้น


หลักพื้นฐานของภาษากาย (Body Language Basics)

ภาษากายสามารถสื่อถึงอารมณ์และเจตนาของบุคคลได้โดยที่ไม่ต้องพูดคำใด ๆ เลย การเข้าใจพื้นฐานของภาษากายสามารถช่วยให้เราสามารถอ่านพฤติกรรมของผู้อื่นได้ดีขึ้น และสามารถปรับปรุงการแสดงออกของตัวเองให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้มากขึ้น ต่อไปนี้คือหลักพื้นฐานของภาษากายที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ภาษากายที่แสดงถึงความมั่นใจ

  • ท่ายืนที่มั่นคง: ไหล่ผ่อนคลาย ศีรษะตั้งตรง มืออยู่ในตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติ

  • การสบตาที่เหมาะสม: มองสบตาผู้อื่นโดยไม่จ้องเขม็งจนเกินไป

  • การใช้มือประกอบคำพูด: ช่วยเสริมความมั่นใจและเพิ่มความน่าสนใจให้กับคำพูด


ภาษากายที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ

  • การกอดอกหรือกำมือแน่น: แสดงถึงการปิดกั้นทางอารมณ์

  • การหลบตา มองลงพื้น: อาจบ่งบอกถึงความกังวล ไม่มั่นใจ หรือการไม่ต้องการเผชิญหน้า

  • การขยับตัวบ่อย ๆ หรือสัมผัสใบหน้าบ่อยครั้ง: เป็นสัญญาณของความไม่สบายใจหรือความเครียด


สัญญาณของการเปิดใจและปิดกั้น

  • ท่าทางที่เปิดกว้าง: โน้มตัวเข้าหา แสดงถึงความสนใจและความเป็นมิตร

  • การหันตัวออก หรือไขว้แขน: อาจหมายถึงความระมัดระวัง หรือการไม่เห็นด้วย


ภาษากายที่แสดงถึงความก้าวร้าว

  • ยืนหรือนั่งตัวแข็งทื่อ: แสดงถึงความตึงเครียดหรือการเผชิญหน้า

  • ใช้มือชี้นิ้วหรือกำมือแน่น: อาจเป็นสัญญาณของความไม่พอใจหรือความต้องการควบคุมสถานการณ์

  • โน้มตัวเข้าหาอีกฝ่ายในลักษณะกดดัน: ทำให้เกิดความรู้สึกคุกคามหรือไม่สบายใจ


ภาษากายที่แสดงถึงความผ่อนคลายและความเป็นกันเอง

  • ยืนหรือนั่งในท่าที่เป็นธรรมชาติและเปิดกว้าง: แสดงถึงความมั่นใจและความสะดวกสบาย

  • การสบตาอย่างเป็นธรรมชาติและรอยยิ้มเล็กน้อย: สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและทำให้ผู้อื่นรู้สึกสบายใจ

  • ใช้ภาษากายที่ไม่แข็งกระด้าง เช่น การเคลื่อนไหวมืออย่างอ่อนโยน: ช่วยให้การสื่อสารดูอบอุ่นและไม่เป็นทางการเกินไป

  • ตัวอย่างสถานการณ์: เมื่อต้องการสร้างความมั่นใจในที่ประชุม ควรเปิดไหล่ ใช้มือประกอบคำพูด และสบตากับผู้ฟังอย่างเป็นธรรมชาติ

  • แบบฝึกหัด: ลองยืนหน้ากระจกแล้วสังเกตภาษากายของตัวเอง จากนั้นฝึกยืนให้มั่นคงและเปิดกว้างมากขึ้น

  • ข้อควรระวัง: ภาษากายสามารถแปรเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรม เช่น ในวัฒนธรรมไทย การสบตาโดยตรงอาจถูกมองว่าไม่สุภาพ ในขณะที่ในวัฒนธรรมตะวันตกถือเป็นสัญญาณของความมั่นใจ


การสังเกตพฤติกรรมและวิเคราะห์เจตนา

ภาษากายสามารถเปิดเผยความคิดที่ซ่อนอยู่และช่วยให้เราตีความเจตนาของผู้อื่นได้ดีขึ้น บางครั้ง คนเราพูดสิ่งหนึ่งแต่ภาษากายบอกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจสะท้อนถึงความลังเล ความซื่อสัตย์ หรือแม้แต่ความไม่มั่นใจ ด้วยเหตุนี้ การสังเกตพฤติกรรมทางกายภาพของคู่สนทนาจึงเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยให้เราสามารถโต้ตอบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น


การอ่านสัญญาณโกหก

  • หลีกเลี่ยงการสบตา หรือกะพริบตาบ่อยเกินไป

  • สัมผัสจมูก หรือปากบ่อย ๆ อาจเป็นสัญญาณของความไม่ซื่อสัตย์

  • ใช้มือแตะใบหน้าหรือศีรษะเมื่อถูกถามคำถามสำคัญ


ภาษากายของผู้นำที่ทรงพลัง

  • การใช้พื้นที่ให้มากขึ้น เช่น ยืนหรือก้าวเดินอย่างมั่นคง

  • การใช้มือประกอบคำพูดเพื่อเน้นประเด็นสำคัญ

  • การสบตากับผู้ฟังเพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่น


การอ่านพฤติกรรมของผู้ฟัง

  • หากผู้ฟังโน้มตัวเข้าหา แสดงว่าพวกเขาสนใจ

  • หากพวกเขาขยับตัวหรือมองออกไป แสดงว่าอาจไม่ได้ให้ความสนใจ


ภาษากายในการเจรจาต่อรอง

  • หากคู่เจรจากอดอกหรือเอนตัวออก แสดงว่าพวกเขายังไม่มั่นใจในข้อตกลง

  • หากพวกเขาพยักหน้าเล็กน้อย หรือโน้มตัวเข้าหา อาจเป็นสัญญาณของการยอมรับข้อเสนอ


ภาษากายของผู้ที่กำลังปกปิดบางสิ่ง

  • กอดอก หรือไขว้ขาแบบป้องกันตนเอง

  • สัมผัสต้นคอ ใบหน้า หรือจมูก ขณะพูด

  • พูดเร็วขึ้น หรือใช้ภาษากายที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ

เทคนิคฝึกใช้ภาษากายของเราให้ทรงพลัง

ภาษากายไม่เพียงแต่เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร แต่ยังสามารถใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างความมั่นใจ สร้างอิทธิพล และทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนที่สามารถควบคุมและใช้ภาษากายอย่างถูกต้องจะสามารถสื่อสารได้อย่างทรงพลัง และได้รับการตอบรับจากผู้อื่นอย่างดีเยี่ยม ต่อไปนี้เป็นเทคนิคสำคัญที่สามารถนำไปฝึกฝนและใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

  1. ฝึกการควบคุมท่าทางให้เหมาะสมกับสถานการณ์

    ใช้กระจกเพื่อสังเกตภาษากายของตนเอง และปรับปรุงให้ดูมั่นใจขึ้น โดยสังเกตการวางไหล่ การยืนตัวตรง และการใช้มือขณะพูด

    ฝึกใช้ท่าทางเปิดกว้างในสถานการณ์ที่ต้องสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น การนำเสนอ หรือการเจรจาต่อรอง โดยหลีกเลี่ยงการกอดอกหรือขยับตัวบ่อยเกินไป

  2. การใช้สายตาเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและอิทธิพล

    ฝึกสบตากับคู่สนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมโยง

    ใช้การสบตาเพื่อเน้นจุดสำคัญในระหว่างการสนทนา แต่หลีกเลี่ยงการจ้องเขม็งเกินไป ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่สบายใจ

  3. การพัฒนาท่าทางและการเคลื่อนไหวให้ดูมั่นใจ

    ฝึกเดินให้มั่นคงและไม่เร่งรีบ เพื่อแสดงถึงความมั่นใจและความสงบ

    ใช้มือประกอบคำพูดอย่างมีจังหวะ เพื่อช่วยให้คำพูดมีพลังมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่รุนแรงเกินไป

  4. การใช้รอยยิ้มและอารมณ์ทางสีหน้า

    ฝึกใช้รอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติในการสนทนาเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดี และสร้างความเป็นกันเอง

    ใช้สีหน้าให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่พูดเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ เช่น แสดงความกระตือรือร้นเมื่อพูดเรื่องที่น่าตื่นเต้น หรือสีหน้าสงบเมื่อพูดเรื่องจริงจัง

  5. การใช้ระยะห่างและพื้นที่ในการสื่อสาร

    ฝึกควบคุมระยะห่างให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เช่น การเว้นระยะพอเหมาะในที่ประชุมเพื่อให้ดูเป็นมิตรและมั่นใจ

    ใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์ในการพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก โดยใช้ภาษากายเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง


บทสรุป ภาษากายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารที่สามารถเสริมสร้างความมั่นใจ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และช่วยให้เราเข้าใจเจตนาและอารมณ์ของผู้อื่นได้ดีขึ้น การเรียนรู้หลักพื้นฐาน การอ่านพฤติกรรม และการฝึกใช้ภาษากายอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เราสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างอิทธิพลและสื่อสารได้อย่างทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นในการสร้างความสัมพันธ์ การเจรจาต่อรอง หรือการพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจะทำให้ภาษากายกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการสื่อสาร 

 
 
 

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating

© 2035 by Site Name. Powered and secured by Wix

bottom of page