top of page

EP.2 7 Habits เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนคนรอบข้าง และเปลี่ยนทั้งองค์กรคู่มือการสร้างนิสัยเชิงบวก สำหรับตัวเรา ครอบครัว และที่ทำงาน

7 Habits เปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนคนรอบข้าง และเปลี่ยนทั้งองค์กร คู่มือการสร้างนิสัยเชิงบวก สำหรับตัวเรา ครอบครัว และที่ทำงาน “ชีวิตที่ดีไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากนิสัยที่เราปลูกฝังในทุกวันธรรมดา” - ดร.นงรัตน์ อิสโร (โค้ชเจ้ฝน)

ตอนที่ 2: จากครอบครัวสู่ห้องเรียน – ปลูกฝัง 7 Habits ให้เด็กด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่แค่การควบคุม

“เราจะสอนอะไรให้เด็กได้มากที่สุด…ไม่ใช่ผ่านคำพูด แต่ผ่านวิธีที่เรามีชีวิตอยู่ต่อหน้าเขาทุกวัน”

แม้เด็กจะเกิดมาพร้อมศักยภาพมหาศาล แต่ สิ่งที่ทำให้ศักยภาพเหล่านั้นเติบโตงอกงามได้ คือสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนา ทั้งจากบ้านและโรงเรียนและหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดที่ “บ้าน” และ “โรงเรียน” ต้องร่วมมือกัน คือ การปลูกฝังอุปนิสัยพื้นฐานเชิงบวกตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งเป็นต้นทุนภายในที่จะพาเด็กไปสู่ชีวิตที่มั่นคง มีคุณภาพ และมีความสุขในระยะยาว


ree

ทำไม “นิสัย” จึงสำคัญยิ่งกว่าพฤติกรรม?

งานวิจัยทางจิตวิทยาพัฒนาการชี้ว่า เด็กไม่ได้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเพียงเพราะเขาทำตามกฎเกณฑ์ได้ดีแต่เติบโตมาอย่างมีคุณภาพเมื่อเขา มีชุดความคิดและนิสัยภายในที่ดี ที่ทำให้เขาตัดสินใจได้อย่างมีสติ เข้าใจตนเอง และเห็นคุณค่าของผู้อื่นได้ด้วยตัวเอง

ดังนั้น การสอน 7 Habits ให้กับเด็ก จึงไม่ใช่แค่ “การฝึกวินัย” แต่คือ “การพัฒนาอุปนิสัยแห่งความเป็นมนุษย์” ที่จะคงอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต


แนวทางการปลูกฝัง 7 Habits สู่เด็ก ด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่บังคับ


1. Be Proactive – ปลูกความรับผิดชอบจากภายใน ไม่ใช่การเชื่อฟังภายนอก

เด็กที่เรียนรู้ว่า “ฉันมีสิทธิเลือกการตอบสนอง” จะเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบชีวิตได้โดยไม่โทษสิ่งรอบตัวสิ่งนี้ต่างจาก “เด็กเชื่อฟัง” ที่แค่ทำตามเพื่อเลี่ยงการถูกลงโทษ

🔎 จากทฤษฎี Self-Determination Theory โดย Ryan & Deci:เด็กที่ได้รับการส่งเสริม autonomy จะมีแรงจูงใจจากภายใน ซึ่งนำไปสู่พฤติกรรมที่ยั่งยืนมากกว่าแรงจูงใจจากภายนอก

วิธีสร้าง:– ไม่ตำหนิเมื่อเด็กทำผิด แต่ใช้คำถามอย่าง “ครูเห็นว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอคิดว่าจะแก้ไขยังไงได้บ้าง?”– เน้นการสะท้อนทางเลือก ไม่ใช่สั่ง


2. Begin with the End in Mind – ชวนเด็กคิดถึงเป้าหมายของตน ไม่ใช่แค่ทำตามเป้าหมายของผู้ใหญ่

เด็กที่มีเป้าหมายของตัวเองจะมีแรงขับจากภายใน ไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้ผู้ใหญ่พอใจและเมื่อเขารู้ว่า “ชีวิตมีจุดหมาย” เขาจะเลือกใช้เวลาและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับคุณค่าภายใน

📌 งานวิจัยของ Damon (2008) พบว่า เด็กที่สามารถตั้งเป้าหมายระยะยาวได้ตั้งแต่ช่วงวัยเรียน มีแนวโน้มพัฒนาความยืดหยุ่นทางใจ และมีความสุขในชีวิตสูงกว่าค่าเฉลี่ย

แนวทาง:– แทนที่จะถามว่า “อยากเป็นอะไรตอนโต” ให้ลองถามว่า “หนูอยากโตเป็นคนแบบไหนที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกดี?”– ใช้การสร้าง vision board หรือ mind map เพื่อให้เด็กรู้สึกว่าเป้าหมายเป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา


3. Put First Things First – ชวนเด็กเห็นคุณค่าของการจัดลำดับความสำคัญ โดยไม่ลดคุณค่าของการพักผ่อน

การสอนวินัยไม่ควรทำให้เด็กเชื่อว่า “ความสนุกคือสิ่งผิด” หรือ “การเล่นคือรางวัล”แต่ควรทำให้เด็กเห็นว่า เราสามารถเลือกสิ่งสำคัญได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องฝืนหรือรู้สึกผิด

🧠 แนวคิดของ Executive Function ในสมองชี้ว่า ทักษะการจัดลำดับและควบคุมตนเองเกิดจากการฝึกฝนอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การลงโทษ

แนวทาง:– จัดตารางเวลาที่เด็กมีส่วนร่วม เช่น เลือกได้ว่าอยากทำการบ้านก่อนหรือหลังอาบน้ำ– ถามเสริม เช่น “วันนี้อะไรสำคัญกับหนูที่สุด?” เพื่อให้เขาฝึกตัดสินใจเอง

ree

4. Think Win-Win – สร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนมีค่า ไม่ใช่แค่มีคนเก่ง

การแข่งขันไม่ผิด แต่หากเด็กเข้าใจผิดว่า “เราต้องชนะเสมอ” เขาอาจเรียนรู้ที่จะกดคนอื่นโดยไม่รู้ตัวการฝึกคิดแบบ win-win ทำให้เด็กรู้จักเห็นคุณค่าคนอื่น ควบคู่กับการรักษาความมั่นใจในตัวเอง

💬 จาก Covey: “Win-Win is not a technique, it's a total philosophy of human interaction.”

แนวทาง:– เวลาเด็กมีความขัดแย้งกับเพื่อน อย่ารีบไกล่เกลี่ย แต่ให้ทั้งสองคนเสนอทางออกที่ทั้งคู่รู้สึกว่า “แฟร์”– สร้างเกมหรือกิจกรรมที่ต้องใช้ความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเดี่ยว


5. Seek First to Understand… – ให้เด็กรู้ว่า ‘เขาถูกฟัง’ ก่อนสอนเขาให้ฟังผู้อื่น

ไม่มีใครอยากฟังเมื่อเขารู้สึกว่าไม่ได้ถูกฟังการสอนเด็กให้ฟังอย่างลึกซึ้ง ต้องเริ่มจากการ “ฟังเขาด้วยความลึกซึ้ง” ก่อน

📖 Active Listening จาก Carl Rogers เน้นว่า การฟังด้วยใจเปิด จะสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางจิตใจ ที่เอื้อต่อการเรียนรู้และเติบโต

แนวทาง:– เวลาลูกหรือศิษย์พูดเรื่องเครียด อย่ารีบแก้ปัญหา แต่ให้พูดว่า “ครูอยู่ตรงนี้นะ ฟังอยู่”– ใช้การสะท้อน เช่น “ครูเข้าใจว่าเธอรู้สึกแบบนี้ใช่ไหม?” แทนการตัดสิน


ree

6. Synergize – ปลูกวัฒนธรรมที่ความหลากหลายคือพลัง ไม่ใช่อุปสรรค

เด็กหลายคนโตมาในระบบที่ยกย่อง “คนเก่งแบบเดียว”แต่การฝึก Synergy คือการทำให้เด็กเข้าใจว่า ความต่างคือสิ่งที่น่าภูมิใจ และควรนำมารวมกันให้เกิดสิ่งใหม่

📊 จาก Harvard Project Zero: ห้องเรียนที่เน้นความหลากหลายของมุมมองจะช่วยพัฒนาทักษะคิดเชิงระบบ และลดความขัดแย้งระยะยาว

แนวทาง:– จัดกิจกรรมกลุ่มที่เด็กมีบทบาทต่างกันตามถนัด– ชื่นชมผลงานของเด็กที่แตกต่างออกไปจากกระแสหลัก เพื่อสร้างสมดุล


7. Sharpen the Saw – ช่วยเด็กดูแลตนเองในทุกมิติอย่างสม่ำเสมอ

การเรียนอย่างหนักไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะประสบความสำเร็จแต่คนที่รู้จัก “ลับเลื่อย” คือคนที่เข้าใจว่า สุขภาวะที่ดีคือพื้นฐานของทุกความสำเร็จ

🧘‍♀️ งานวิจัยใน Positive Psychology ระบุว่า การสร้างสมดุลระหว่างกิจกรรมการเรียนรู้ พักผ่อน ออกกำลังกาย และการฝึกสติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสมองและอารมณ์ของเด็กได้จริง

แนวทาง:– พาเด็กฝึกหายใจวันละ 3 นาที หรือนั่งนิ่ง ๆ ฟังเสียงธรรมชาติ– พูดถึง “สุขภาพใจ” พอ ๆ กับ “คะแนนสอบ” เพื่อสร้างวัฒนธรรมใหม่


ree

บทสรุป: เราไม่ใช่แค่ผู้สอน...แต่คือผู้กำหนดวัฒนธรรมชีวิตให้เด็ก

“เด็กเรียนรู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไรจากวิธีที่เราปฏิบัติต่อเขา ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราสอนเขา”

การนำ 7 Habits มาใช้กับเด็ก ไม่ได้หมายถึงการใส่บทเรียนเข้าไปในตารางเรียนแต่คือการ เปลี่ยนบรรยากาศของการอยู่ร่วมกัน ให้เอื้อต่อการเติบโตของนิสัยที่ดีจากข้างในและเมื่อผู้ใหญ่เริ่มใช้มันกับตัวเองก่อน เด็กจะไม่ต้องถูกสอนเลยด้วยซ้ำ — เพราะเขาจะ “ซึมซับ” โดยธรรมชาติ

❝ ถ้าผู้ใหญ่มี Habit เด็กจะมีแบบอย่าง ถ้าเด็กมี Habit โลกจะมีอนาคต ❞

 
 
 

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating

© 2035 by Site Name. Powered and secured by Wix

bottom of page