ผู้นำที่ใคร ๆ ก็รัก: ทักษะแบบใหม่ที่สร้างได้ในยุคที่คนไม่ยอมตามใครง่าย ๆ
- fonfonwebsite
- May 13
- 2 min read
ในอดีต ภาพของ “ผู้นำที่ดี” มักถูกผูกไว้กับคำว่าเด็ดขาด เก่งกาจ และมีคำสั่งชัดเจน แต่ในโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะโลกของทีมงานที่ต้องร่วมมือกันอย่างเท่าเทียม “ผู้นำที่ใคร ๆ ก็ยอมรับและอยากเดินตาม” มักไม่ใช่คนที่สั่งเก่ง แต่เป็นคนที่ ฟังเก่ง สื่อสารเป็น และเข้าใจหัวใจของผู้คน
บทความนี้จะพาไปรู้จัก 10 ทักษะสำคัญของ “ผู้นำที่คนรัก” พร้อมตัวอย่างและเทคนิคที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที

1. Empathetic Assertiveness – กล้าพูดด้วยใจที่เข้าใจ
ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่เอาใจทุกคนเสมอไป แต่คือคนที่กล้าพูดในสิ่งที่จำเป็น โดยไม่ทำลายความรู้สึกของใคร
เทคนิค:
เวลาต้องให้ feedback ที่ยาก ลองเริ่มด้วย “ฉันเข้าใจว่า... แต่เพื่อให้ทีมไปต่อ เราจำเป็นต้อง...”
ใช้เทคนิค I-message เช่น “ฉันรู้สึกว่า... เมื่อเราเจอสถานการณ์นี้” แทนการโทษอีกฝ่าย
Insight: การกล้าพูดในสิ่งจำเป็นคือการปกป้องคุณค่าของทีม ไม่ใช่การปะทะ
2. Visionary Storytelling – สื่อสารด้วยเรื่องเล่าให้คนเห็นภาพและมีพลัง
ผู้นำยุคใหม่ไม่ใช่แค่พูดเก่ง แต่ต้องเล่าเรื่องเป็น เพราะเรื่องเล่าช่วยให้เป้าหมายที่ดูไกล กลายเป็นสิ่งที่ “จับต้องได้ในใจคน”
เทคนิค:
ใช้ “3C” ของการเล่าเรื่อง: Context – Challenge – Change
เล่าเรื่องจริงของคนในทีม ที่เคยพัฒนาแล้วเติบโต จนกลายเป็นแรงบันดาลใจ
ตัวอย่าง: “จำได้ไหมว่าตอนต้นปีเรากลัวจะทำโปรเจกต์นี้ไม่ทัน? ตอนนี้เรามาถึงขั้นนี้ได้เพราะทุกคนลุยไปด้วยกัน...”
3. Authentic Vulnerability – ความจริงใจคือพลัง
การยอมรับว่า “ฉันก็เคยผิดพลาด” ไม่ได้ทำให้ผู้นำดูอ่อนแอ แต่มันคือ “การเปิดใจให้ทีมกล้าเติบโตไปพร้อมกัน”
เทคนิค:
แชร์สิ่งที่คุณเคยเรียนรู้จากความผิดพลาด โดยไม่ต้องทำให้เป็นดราม่า
กล้าพูดว่า “อันนี้ฉันยังไม่เก่ง แต่เรามาคิดทางออกด้วยกันไหม”
Insight: ความเปราะบางอย่างจริงใจ สร้างความไว้วางใจได้ลึกกว่าคำพูดสวยหรู
4. Servant Leadership – นำด้วยใจที่อยากรับใช้ ไม่ใช่ควบคุม
ผู้นำที่ดีมองเห็น “ทีม” ไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่คือ “มนุษย์ที่มีศักยภาพ” หน้าที่ของเขาคือ สร้างเงื่อนไขให้ทุกคนงอกงามได้เต็มที่
เทคนิค:
เปลี่ยนคำถามจาก “ฉันต้องให้เขาทำอะไร” → “ฉันจะสนับสนุนเขาให้ทำสิ่งนั้นได้ยังไง”
ฝึกการ “ฟังด้วยใจ ไม่ใช่แค่ฟังด้วยหู”
ตัวอย่าง: ผู้นำที่ใช้ servant leadership มักเป็นคนที่ “เดินไปช่วยเก็บของด้วยตัวเอง” ไม่ใช่แค่สั่งให้ทีมทำ

5. Curiosity-Driven Innovation – ความอยากรู้คือจุดเริ่มของความสร้างสรรค์
ผู้นำที่ดีไม่กลัวคำถาม ไม่กลัวไอเดียแปลก ๆ เขาสร้างวัฒนธรรมที่คนในทีม “กล้าลอง กล้าผิด และกล้าคิดนอกกรอบ”
เทคนิค:
ตั้งคำถามปลายเปิดเป็นประจำ เช่น “มีวิธีไหนที่เรายังไม่ได้ลอง?”
ใช้กิจกรรม “Crazy Idea Round” ในการ brainstorm โดยไม่มีใครถูกตัดสิน
6. Transformational Leadership – ผู้นำที่เปลี่ยนทั้งคนและระบบ
ผู้นำแบบ Transformational Leadership ไม่ได้แค่มอบหมายงาน แต่ “ปลุกใจคนให้เห็นคุณค่าในตัวเองและทีม”
Insight: ไม่ใช่แค่พาทีม “ทำงานให้เสร็จ” แต่พาทีม “เติบโตและเห็นคุณค่าของตัวเองไปด้วยกัน”
เทคนิค:
สร้าง “ภาพฝันร่วมกัน” ที่ชัดเจน และสื่อสารซ้ำอย่างมีพลัง
ให้โอกาสทีมได้เสนอแนวทางใหม่ ๆ และร่วมตัดสินใจจริง
7. Emotional Intelligence (EI) – เข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น
ผู้นำที่ขาด EI ก็เหมือนกัปตันที่ควบคุมเรือท่ามกลางคลื่นอารมณ์โดยไม่มีเข็มทิศ
เทคนิค:
ฝึกตั้งชื่ออารมณ์ของตัวเอง (Name it to tame it)
ถามตัวเองว่า “ตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง และมันกำลังส่งผลต่อทีมยังไง”
ตัวอย่าง: ระหว่างประชุมทีม มีสมาชิกคนหนึ่งแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายและไม่พูดอะไรเลย แทนที่จะตำหนิว่า “ไม่ให้ความร่วมมือ” ผู้นำที่มี EI อาจทักอย่างอ่อนโยนว่า “วันนี้ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยสบายใจ อยากพักก่อนหรือลองแชร์สิ่งที่คิดไหมครับ?”
8. Strengths-Based Leadership – พาทีมโตจากสิ่งที่แต่ละคนถนัด
แทนที่จะพยายามให้ทุกคนเก่งเหมือนกัน ผู้นำที่เข้าใจ “ความหลากหลายของจุดแข็ง” จะช่วยให้ทีม “ประกอบกันเป็นภาพที่สมบูรณ์”
เทคนิค:
ใช้แบบประเมินจุดแข็ง เช่น VIA หรือ CliftonStrengths
มอบหมายงานตามความถนัด ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง
ตัวอย่าง : ในทีมมีสมาชิกคนหนึ่งไม่เก่งงานเอกสาร แต่สื่อสารเก่งและสร้างพลังบวกเก่งมาก แทนที่จะฝืนให้เขาจัดการไฟล์หรือรายงาน ผู้นำเลือกให้เขารับหน้าที่ ประสานงานและดูแลบรรยากาศทีม ผลลัพธ์คือ งานไหลลื่นขึ้น และคนในทีมรู้สึกมีพลังมากขึ้น
9. Positive Psychology Leadership – สร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เต็มไปด้วยพลังบวก
ในที่ทำงานที่เต็มไปด้วยความเครียดผู้นำที่สร้างบรรยากาศบวก คือแสงเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนใจคนทั้งทีมได้
Insight: ความสุขในการทำงาน ไม่ได้มาจากโบนัสเท่านั้น แต่มาจากการรู้ว่า “สิ่งที่ฉันทำมีความหมาย” และ “ฉันมีคุณค่าในทีมนี้”
เทคนิค:
เริ่มประชุมด้วย “1 เรื่องดี ๆ วันนี้”
ชวนทีมเขียน “I’m proud of…” ทุกสัปดาห์
10. Adaptive Leadership – นำแบบยืดหยุ่น ไม่ยึดติด
โลกเปลี่ยนเร็วเกินกว่าจะใช้คำว่า “ทำแบบเดิมก็พอ” ผู้นำที่ปรับตัวได้ดี คือคนที่ “ยอมเปลี่ยน ไม่ใช่ยอมแพ้”
Insight: ผู้นำที่ยืดหยุ่น ไม่ได้แปลว่าไม่มีหลัก แต่คือคนที่รู้ว่า เมื่อไหร่ควรยืนหยัด และเมื่อไหร่ควรถอยเพื่อฟัง
ในโลกที่เปลี่ยนเร็ว คนที่ปรับตัวไว จะพาทีมอยู่รอดและเติบโตไปพร้อมกันได้
เทคนิค:
ใช้เทคนิค SCAN:
Situation – เกิดอะไรขึ้น
Choices – ทางเลือกมีอะไรบ้าง
Action – จะลงมือทำยังไง
Navigate – วางแผนปรับตามสถานการณ์
ตัวอย่าง: หลังจากประชุมวางแผนงานมาหลายสัปดาห์ ทีมเจอวิกฤตงบประมาณกะทันหัน แทนที่จะยืนยันแผนเดิมจนคนหมดแรง ผู้นำชวนทีม “ปรับเป้าหมายให้เหมาะกับสถานการณ์ใหม่” และเปิดให้ทุกคนเสนอทางออกร่วมกัน ผลลัพธ์คือทีมรู้สึกเป็นเจ้าของแผนใหม่ และลุยต่อด้วยพลังใจเต็มร้อย

สรุป: ความรักที่แท้จริง ไม่ได้มาจากอำนาจ แต่มาจากความเป็นมนุษย์
ในยุคที่คนเลือกจะ “ตามเฉพาะคนที่เขารู้สึกว่าเข้าใจเขาจริง” การเป็นผู้นำที่น่ารัก น่าเคารพ และน่าเดินตาม
ไม่ได้เกิดจากการเรียนปริญญาเท่านั้น แต่เกิดจาก ความตั้งใจจะฟัง เข้าใจ และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพราะสุดท้ายแล้ว “หัวใจของความเป็นผู้นำ...คือการสร้างคน ไม่ใช่แค่สั่งคน”
コメント