ประสานงานอย่างมืออาชีพ : ยอมรับความเห็นต่างและหาจุดร่วมเพื่อการพัฒนา
- fonfonwebsite
- May 9
- 2 min read
ในทุกทีมและองค์กร ความเห็นต่างและความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคนที่มีพื้นฐานทางความคิด ประสบการณ์ และมุมมองที่แตกต่างกันต้องมาทำงานร่วมกัน ย่อมเกิดความไม่ลงรอยในบางประเด็น แต่แทนที่เราจะมองว่าความขัดแย้งเป็นปัญหาที่ต้องหลีกเลี่ยง เราสามารถใช้มันเป็นโอกาสในการพัฒนาแนวคิดใหม่ๆ สร้างความร่วมมือ และทำให้ทีมแข็งแกร่งขึ้น
การที่เราสามารถยอมรับความเห็นต่างและหาจุดร่วมเพื่อพัฒนาต่อไปได้นั้น เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลมไม่ให้ความเห็นต่างลุกลามไปเป็นความขัดแย้ง และถือเป็นการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ เพราะเมื่อมีมุมมองที่หลากหลาย ทีมสามารถระดมความคิดและหาแนวทางแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทีมเนื่องจากการเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นช่วยสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างเพื่อนร่วมงาน ทำให้ทีมมีความยืดหยุ่นและแข็งแกร่งขึ้น สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง และเผชิญกับความท้าทายในการทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้การตัดสินใจมีคุณภาพมากขึ้น เมื่อทุกมุมมองได้รับการพิจารณา ทีมสามารถเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่รอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย นอกจากนี้ ยังช่วยให้เกิดการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการเจรจาต่อรองอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย

จิตวิทยาของความเห็นต่างและความขัดแย้ง
ในทีมและองค์กร ความเห็นต่างและความขัดแย้งสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีผลกระทบและวิธีการจัดการที่แตกต่างกัน:
Task Conflict (ความขัดแย้งเกี่ยวกับงาน): เกิดจากความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับวิธีการทำงาน หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหา
Relationship Conflict (ความขัดแย้งด้านความสัมพันธ์): มักเกิดจากปัจจัยส่วนตัว เช่น ความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน บุคลิกภาพที่แตกต่าง หรือปัญหาส่วนตัว
Process Conflict (ความขัดแย้งเกี่ยวกับกระบวนการทำงาน): เกิดจากความไม่ลงรอยเกี่ยวกับวิธีการตัดสินใจ การจัดลำดับความสำคัญ หรือการกระจายงานภายในทีม
สาเหตุของความเห็นต่างและความขัดแย้งในทีม
ความแตกต่างของค่านิยม (Values Conflicts): แต่ละคนมีความเชื่อและหลักการที่ยึดถือแตกต่างกัน ซึ่งอาจกระทบต่อการตัดสินใจร่วมกัน
เป้าหมายที่ไม่ตรงกัน (Goal Conflicts): บางครั้งแต่ละฝ่ายต้องการสิ่งที่ขัดแย้งกัน เช่น ฝ่ายผลิตต้องการลดต้นทุน ขณะที่ฝ่ายการตลาดต้องการสินค้าคุณภาพสูง
ความเข้าใจผิด (Miscommunication): ปัญหาส่วนใหญ่มักเกิดจากการตีความที่ผิดพลาด หรือข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
รูปแบบการทำงานที่ต่างกัน (Work Style Differences): บางคนชอบทำงานเป็นทีม บางคนชอบทำงานคนเดียว หรือมีวิธีการตัดสินใจแตกต่างกัน
อารมณ์และ Ego (Emotional & Personal Conflicts): บางครั้งความขัดแย้งเกิดจากอารมณ์ส่วนตัว หรือการรักษาหน้าตาของแต่ละฝ่าย
แนวคิดทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความเห็นต่างและความขัดแย้ง
Cognitive Bias (อคติทางความคิด): คนเรามักมองเหตุการณ์จากมุมมองของตนเอง และอาจมีอคติโดยไม่รู้ตัว เช่น Confirmation Bias (เลือกเชื่อเฉพาะสิ่งที่สอดคล้องกับความคิดของตัวเอง)
Emotional Triggers (ตัวกระตุ้นทางอารมณ์): บางคำพูดหรือพฤติกรรมอาจกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่รุนแรง ทำให้การสื่อสารผิดพลาด
Fundamental Attribution Error: คนมักโทษบุคคลมากกว่าระบบ เช่น คิดว่าเพื่อนร่วมงานขี้เกียจ แทนที่จะมองว่าปัญหาเกิดจากภาระงานที่หนักเกินไป

เทคนิคจัดการความเห็นต่างและความขัดแย้งอย่างสร้างสรรค์
การเปลี่ยนจาก “โต้วาที” เป็น “การสนทนา”
เปลี่ยนเป้าหมายจากการเอาชนะมาเป็นการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
ฝึก Active Listening หรือการฟังอย่างตั้งใจ โดยไม่ขัดจังหวะหรือรีบแย้ง
ใช้คำถามเชิงสร้างสรรค์ เช่น “เราจะหาทางแก้ไขร่วมกันได้อย่างไร?” แทนการถามว่า “ใครผิด?”
พยายามหาจุดร่วมให้มากกว่าจุดแตกต่าง เพื่อให้เกิดการสื่อสารที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
เทคนิค Reframing: เปลี่ยนกรอบความคิด
แทนที่จะมองว่าความขัดแย้งเป็นปัญหา ให้มองว่ามันคือโอกาสในการพัฒนา
ใช้คำพูดที่ช่วยสร้างบรรยากาศเชิงบวก เช่น “มุมมองของคุณช่วยให้เราเห็นแง่มุมใหม่”
หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่เป็นลบ เช่น “นี่เป็นความคิดที่ผิด” และเปลี่ยนเป็น “ลองพิจารณามุมมองอื่นดูไหม?”
วิธีรับมือกับความขัดแย้งโดยใช้ Empathetic Communication
ฝึกการสื่อสารที่เน้นความเข้าใจซึ่งกันและกัน (Empathy)
ใช้ Reflective Listening โดยการพูดทวนหรือสรุปสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเพื่อให้แน่ใจว่าเข้าใจตรงกัน
หลีกเลี่ยงการใช้คำที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกถูกโจมตี เช่น “คุณไม่เข้าใจ” หรือ “คุณคิดผิด”
การใช้ Negotiation & Mediation เพื่อหาทางออกที่ Win-Win
มุ่งเน้นที่ Win-Win Solution โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทุกฝ่าย
ใช้แนวคิด BATNA (Best Alternative to a Negotiated Agreement) หรือการพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดหากการเจรจาไม่สำเร็จ
หากสถานการณ์ซับซ้อน ควรใช้บุคคลที่สามช่วยไกล่เกลี่ย (Mediation) เพื่อให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่าถูกปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
เทคนิคการใช้ Nonviolent Communication (NVC) ในการลดความขัดแย้ง
ใช้ “I-Message” เพื่อสื่อสารความรู้สึกของตนเองโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถูกโจมตี เช่น “ฉันรู้สึกกังวลเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในนาทีสุดท้าย” แทน “คุณทำให้ฉันเครียด”
อธิบายข้อเท็จจริงก่อน แล้วจึงแสดงความรู้สึก เช่น “เมื่อคุณส่งข้อมูลล่าช้า ฉันรู้สึกกังวล เพราะต้องใช้เวลาตรวจสอบก่อนส่งต่อ”
ให้ข้อเสนอแนะที่สร้างสรรค์ เช่น “เราสามารถช่วยกันหาวิธีลดปัญหานี้ในอนาคตได้อย่างไร?”
การใช้ผังเหตุ-ผล (Fishbone Diagram) เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่สาเหตุจริงๆ
แทนที่จะมุ่งหาผู้รับผิดชอบ เราควร วิเคราะห์รากของปัญหา เพื่อให้แก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Fishbone Diagram หรือ Ishikawa Diagram ช่วยให้ทีมมองเห็นสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาในหมวดต่างๆ เช่น People, Process, Materials, Environment
ตัวอย่างการใช้: ถ้าทีมมีปัญหาในการสื่อสาร ควรวิเคราะห์ว่ามาจาก การขาดช่องทางที่เหมาะสม (Process), ปัญหาทางเทคนิค (Tools) หรือการขาดการประสานงานที่ดี (People)
ใช้ Fishbone Diagram ในการประชุมเพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเสนอแนวคิดและวิเคราะห์ปัญหาร่วมกัน
การปรับตัวและการพัฒนาความเห็นต่างเพื่อหาจุดร่วมในการพัฒนาต่อ
หลักคิด
การทำงานในทีมที่มีคนจากพื้นฐานที่หลากหลายต้องอาศัย ความยืดหยุ่นทางความคิด (Cognitive Flexibility)
การปรับตัวช่วยให้เราสามารถทำงานร่วมกับคนที่มีมุมมองและวิธีการทำงานที่แตกต่างกันได้
สร้างทัศนคติที่เปิดกว้าง (Open Mindset) และลดแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้งจากอคติส่วนตัว
การพัฒนาความสามารถในการเข้าใจและรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น (Empathy) เพื่อสร้างความร่วมมือที่ดีขึ้น
Perspective-taking: ฝึกมองโลกจากมุมมองของผู้อื่นเพื่อเข้าใจแรงจูงใจและเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขา
Active Acknowledgment: แสดงออกว่าคุณรับรู้ถึงความรู้สึกและความคิดเห็นของผู้อื่น เช่น “ฉันเห็นว่าคุณให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก”
การใช้ Empathetic Language: ใช้คำพูดที่ช่วยลดความตึงเครียด เช่น “ฉันเข้าใจว่าคุณรู้สึกแบบนั้น” แทนที่จะพูด “คุณคิดผิด”
การใช้ Growth Mindset ในการทำงานเป็นทีม
คนที่มี Growth Mindset จะมองว่าความขัดแย้งเป็น โอกาสในการเรียนรู้ แทนที่จะเป็นปัญหา
ฝึกคิดว่า "ฉันจะเข้าใจมุมมองของอีกฝ่ายได้อย่างไร?" แทนที่จะคิดว่า "ฉันจะเอาชนะเขาได้อย่างไร?"
เน้นการพัฒนาตนเองและทีมให้ดียิ่งขึ้นผ่านการเรียนรู้จากความขัดแย้ง
เทคนิคการโค้ช (Coaching) เพื่อช่วยให้ทีมรับมือกับความขัดแย้ง
Solution-Focused Coaching: มุ่งเน้นที่การหาทางแก้ปัญหา แทนที่จะโฟกัสไปที่ปัญหาอย่างเดียว
ตั้งคำถามเชิงบวก: เช่น “คุณคิดว่าเราควรแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?” เพื่อกระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์และหาทางออกที่สร้างสรรค์
Feedback ที่สร้างสรรค์: ให้ข้อเสนอแนะที่ช่วยให้เกิดการปรับปรุงโดยไม่ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกถูกโจมตี
ฝึกฝนผ่านแบบฝึกหัดจริง เช่น
Role-playing: ลองให้สมาชิกในทีมสลับบทบาทกันเพื่อเข้าใจมุมมองของกันและกัน
Reflection Exercise: ให้สมาชิกในทีมจดบันทึกสิ่งที่พวกเขารู้สึกเมื่อเผชิญกับความขัดแย้ง และพิจารณาว่าควรตอบสนองอย่างไร
Empathy Mapping: ใช้แผนผังที่ช่วยให้เข้าใจว่าผู้อื่น "คิด-รู้สึก-พูด-ทำ" อะไรในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน

บทสรุป
“ความเห็นต่างและความขัดแย้งไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นโอกาสให้เราเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” เมื่อเราสามารถจัดการความเห็นต่างและความขัดแย้งได้อย่างสร้างสรรค์ เราจะสร้างทีมที่มีความร่วมมือที่ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และก้าวไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน
ลองใช้เทคนิคที่แนะนำในบทความนี้ ไม่ว่าจะเป็นการ Reframing เพื่อเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับความเห็นต่างและความขัดแย้ง การใช้ Empathetic Communication ในการทำงานร่วมกัน และการใช้ผังเหตุ-ผล หรือ Fishbone Diagram เพื่อวิเคราะห์ปัญหาจริงๆ ในทีมของคุณ
เพียงเท่านี้ทีมของคุณก็จะสามารถยอมรับความเห็นต่างและหาจุดร่วมเพื่อการพัฒนาต่อไปให้บรรลุเป้าหมายของทีมได้
Коментарі