Iceberg Model: เข้าใจความต่างของมนุษย์จากรากลึกแห่งจิตใจ
- fonfonwebsite
- Aug 14
- 2 min read
บทนำ: ทำไมเราเข้าใจคนอื่นได้ยากนัก?
ในโลกที่เต็มไปด้วยความหลากหลายของบุคคล ท่าที คำพูด และพฤติกรรมของผู้คนอาจนำมาซึ่งความไม่เข้าใจ ความขัดแย้ง หรือแม้แต่การตัดสินกันโดยไม่รู้ตัวผู้คนมักมองเห็นเพียง “สิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออก” แล้วใช้สิ่งนั้นเป็นเกณฑ์ในการนิยามคุณค่าของผู้อื่นแต่คำถามคือ… สิ่งที่เรามองเห็น เป็น “ความเป็นจริงทั้งหมด” แล้วหรือยัง?
Virginia Satir นักบำบัดครอบครัวผู้ทรงอิทธิพล ได้นำเสนอ Iceberg Modelโมเดลที่ช่วยให้เราเข้าใจว่า พฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกนั้นเป็นเพียง “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง”ขณะที่แก่นแท้ของความคิด ความรู้สึก และแรงจูงใจซ่อนอยู่ลึกลงไปใต้พื้นผิวน้ำ

Iceberg Model: ความเป็นมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ใต้พฤติกรรม
Iceberg Model ของ Satir แสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมภายนอกเป็นเพียง “ผลลัพธ์”แต่ “รากเหง้า” ของพฤติกรรมนั้น มาจากกระบวนการภายในของมนุษย์ซึ่งมีหลายชั้น ได้แก่:
🔹 1. พฤติกรรม (Behavior) : ยอดภูเขาน้ำแข็งที่ผู้คนมองเห็น
พฤติกรรมคือสิ่งที่ผู้อื่นรับรู้ได้ทันที เช่น การพูด น้ำเสียง การสบตา หรือการนั่งไขว้แขน ทุกการกระทำที่ปรากฏภายนอกดูเหมือนเป็นสาระสำคัญของการสื่อสาร แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นเพียง “ผลลัพธ์สุดท้าย” จากกระบวนการภายในที่ซับซ้อนยิ่ง
ตัวอย่างเช่น:
คนที่พูดเสียงดัง อาจไม่ได้ต้องการแสดงอำนาจ แต่อาจพยายามเอาชนะความรู้สึกว่า "ตัวเองไม่มีความสำคัญ"
คนที่เลี่ยงสายตา ไม่ใช่เพราะไม่มีมารยาท แต่อาจกำลังรู้สึกไม่มั่นใจ หรือไม่กล้าสื่อสารความรู้สึกแท้จริง
การมองเพียงพฤติกรรมโดยไม่สำรวจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเท่ากับเรามองเห็นเพียง “10% ของภูเขาน้ำแข็ง”การตัดสินจากสิ่งที่เห็นเพียงอย่างเดียว จึงเป็นอันตรายต่อความสัมพันธ์
🔹 2. ความรู้สึกที่รับรู้ได้ (Feelings) : แรงสั่นสะเทือนแรกใต้ผิวน้ำ
ความรู้สึกเป็นตัวสะท้อนภายในที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน เช่น โกรธ ดีใจ ผิดหวัง สับสน รู้สึกโดดเดี่ยว
เป็น “ข้อมูลทางอารมณ์” ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมโดยตรง
ในกระบวนการสื่อสาร หากบุคคลไม่สามารถระบุหรือยอมรับความรู้สึกของตนได้ เขาอาจแสดงออกด้วยพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับความรู้สึก เช่น
รู้สึกเสียใจ → แต่แสดงออกด้วยการประชดประชัน
รู้สึกไม่มั่นใจ → แต่แสดงออกด้วยความเย่อหยิ่ง
การเรียนรู้ที่จะ “สังเกตและยอมรับอารมณ์ของตน” เป็นก้าวแรกของการสื่อสารที่สอดคล้องกับความเป็นจริงภายใน
🔹 3. ความรู้สึกต่อความรู้สึก (Feelings about feelings) : ชั้นลึกของการควบคุมพฤติกรรม
ความรู้สึกที่ซ้อนทับ เช่น อับอายที่รู้สึกกลัว รู้สึกผิดที่รู้สึกโกรธ – ส่วนนี้ส่งผลอย่างมากต่อพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว
อารมณ์ชั้นนี้ซ่อนอยู่ลึกกว่า และมักเป็นสิ่งที่ผู้คน “ไม่ยอมรับ” หรือ “ตัดสินตัวเอง” เช่น
รู้สึก “อับอาย” ที่ตัวเอง “กลัว”
รู้สึก “ผิด” ที่รู้สึก “โกรธ”
รู้สึก “แย่” ที่ตัวเอง “ร้องไห้”
ความรู้สึกต่อความรู้สึกเหล่านี้ มักถูกเรียนรู้จากประสบการณ์ในครอบครัว วัฒนธรรม หรือสังคม เช่น การที่เด็กชายถูกบอกว่า "ห้ามร้องไห้" อาจเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่รู้สึกอับอายทุกครั้งที่รู้สึกอ่อนแอ
อารมณ์ซ้อนอารมณ์เช่นนี้ ส่งผลให้บุคคล “ปิดบัง” หรือ “ป้องกันตัว” ด้วยพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ความนิ่งเฉย การปฏิเสธ หรือแม้แต่ความก้าวร้าว

🔹 4. การรับรู้ (Perceptions) : เลนส์ที่ตีความโลกและผู้คน
การรับรู้คือกระบวนการที่สมองแปลความหมายของสถานการณ์โดยอิงจากประสบการณ์และความเชื่อส่วนตัว เช่น
คนหนึ่งอาจมองการนิ่งเฉยว่า “เขาไม่สนใจฉัน”
ขณะที่อีกคนมองว่า “เขากำลังให้พื้นที่ฉันอยู่”
Perceptions ไม่ใช่ “ความจริง” แต่คือ “การตีความ” ซึ่งมักเกิดขึ้นอัตโนมัติและส่งผลต่อความรู้สึก ความคิด และพฤติกรรมหากเราไม่ตระหนักว่าแต่ละคน “มีเลนส์รับรู้ต่างกัน” ความเข้าใจผิดและความขัดแย้งจะเกิดขึ้นได้ง่าย
🔹 5. ความคาดหวังและความเชื่อ (Expectations & Beliefs) : รากของพฤติกรรมซ้ำ ๆ
ความเชื่อและความคาดหวังคือ “แผนที่ภายใน” ที่กำหนดว่าเราควรเป็นอย่างไร คนอื่นควรเป็นแบบไหน และโลกควรเป็นเช่นไร เช่น:
“ฉันต้องไม่ล้มเหลว”
“คนที่ดีต้องไม่โกรธ”
“ถ้าฉันไม่เพอร์เฟกต์ ฉันจะถูกปฏิเสธ”
สิ่งเหล่านี้อาจดูเหมือนให้แรงผลักดัน แต่ในทางกลับกัน หากขาดความยืดหยุ่น ก็อาจกลายเป็นกับดักที่สร้างความทุกข์
ความเชื่อที่แข็งตัวอาจทำให้เราต่อต้านความต่าง ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และไม่ยอมรับตัวเองในบางสถานการณ์
🔹 6. ตัวตน (Self) : แก่นแท้ของความเป็นมนุษย์
ชั้นลึกสุดของภูเขาน้ำแข็งคือ “Self” – ภาพลึกภายในของตัวเองที่ก่อตัวจากการเลี้ยงดู ประสบการณ์ และความสัมพันธ์ เช่น
“ฉันมีค่า” หรือ “ฉันไม่คู่ควรกับความรัก”
“ฉันเป็นที่รักของคนรอบตัว” หรือ “ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ฉัน”
หากบุคคลมี “ภาพตัวตนที่บิดเบี้ยว” เช่น มองว่าตนเองไม่มีคุณค่า ความสัมพันธ์กับผู้อื่นก็จะเต็มไปด้วยความกลัว ความไม่มั่นใจ และความขัดแย้ง
ในทางกลับกัน การเยียวยาตัวตนภายในและสร้างภาพตัวเองที่แข็งแรง จะนำไปสู่พฤติกรรมที่สร้างสรรค์ เมตตา และเปิดรับความแตกต่างของผู้อื่นได้ง่ายขึ้น
การนำ Iceberg Model ไปใช้เพื่อยอมรับและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
การเข้าใจโมเดล Iceberg ของ Satir ไม่ใช่แค่เครื่องมือวิเคราะห์คน แต่มันคือ “กระจก” ที่ชวนเรามองมนุษย์ทุกคน (รวมถึงตัว
เราเอง) ด้วยความเข้าใจแทนการตัดสิน
ตัวอย่าง:
พฤติกรรมที่เห็น | ความรู้สึกซ่อนอยู่ | การรับรู้ | ความเชื่อภายใน | ภาพตัวตน |
พูดเสียงดังในที่ประชุม | กลัวถูกมองข้าม | คิดว่าความเงียบ = ไม่มีคุณค่า | ฉันต้องแสดงพลังเพื่อให้คนฟัง | ฉันมีคุณค่าแค่ตอนที่คนเห็นฉัน |
เมื่อเราเข้าใจชั้นลึกเหล่านี้ เราจะไม่มองคนในมิติเดียว แต่เห็นว่า “พฤติกรรมที่ยากเข้าใจ” มักสะท้อน “ความต้องการบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม”
มาถึงตรงนี้เราจึงรู้แล้วว่า สิ่งที่เราควรฝึกฝนเพื่อเข้าใจและเรียนรู้ในความเป็นมนุษย์ที่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบ คือ
หยุดตัดสินจากสิ่งที่เห็นสิ่งที่เราเห็นอาจเป็นแค่ กลไกการเอาตัวรอด ของใครบางคน ลองตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเขา?” แทน “เขาเป็นคนยังไง?”
ฟังด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่เพื่อโต้ตอบฟังให้ได้ยินสิ่งที่เขา ไม่ได้พูด ด้วยคำถาม เช่น “สิ่งที่เธอพูด หมายความว่าอะไรสำหรับเธอ?”
สร้างพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงความรู้สึกไม่ใช่ทุกคนพร้อมเปิดเผยความรู้สึกทันที การไม่เร่งเร้า แต่ “อยู่กับเขา” อย่างอ่อนโยน จะเปิดโอกาสให้เขาค่อย ๆ แสดงชั้นใต้ผิวน้ำออกมา
ฝึกสำรวจภูเขาน้ำแข็งของตัวเองถ้าเราไม่รู้จักชั้นภายในของตนเอง เราจะไม่สามารถเข้าใจคนอื่นได้อย่างแท้จริง

บทสรุป: การยอมรับความต่าง เริ่มที่การเข้าใจความลึกของมนุษย์
Virginia Satir เชื่อว่า
“Behind every behavior is a positive intention.”เบื้องหลังทุกพฤติกรรม มีความต้องการบางอย่างที่มีเจตนาดี
Iceberg Model จึงไม่ใช่แค่ทฤษฎีเพื่อทำความเข้าใจคนอื่น แต่คือแนวทางที่ชวนเรา เคารพความเป็นมนุษย์ ในแบบที่เขาเป็น
และเชื่อว่า...แม้เราจะมีความต่าง แต่เราทุกคนต่างก็มี “ภูเขาน้ำแข็ง” ที่รอให้ใครสักคนเข้าไปเข้าใจ
โดย โค้ชเจ้ฝน




Comments