top of page

ศิลปะการสื่อสาร...ผ่านอารมณ์ไหน ?

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าอารมณ์มีผลต่อการสื่อสารอย่างไร พร้อมทั้งเสนอเทคนิคที่ช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์ของตนเอง และใช้มันเป็นเครื่องมือเพื่อทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าคุณจะสื่อสารในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือในสังคมออนไลน์


อารมณ์คือกุญแจสำคัญของการสื่อสาร

ทุกครั้งที่เราสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน การให้ฟีดแบ็ก (Feedback) หรือการแสดงความคิดเห็นในสื่อออนไลน์ อารมณ์ของเรามีบทบาทสำคัญในการกำหนด "น้ำหนัก" และ "ผลกระทบ" ของข้อความที่เราส่งออกไป อารมณ์สามารถเป็นสะพานเชื่อมความเข้าใจ หรืออาจเป็นกำแพงที่กั้นการรับสารระหว่างกันได้หากถูกใช้อย่างไม่ระมัดระวัง

ลองนึกภาพสถานการณ์ที่คุณต้องรับฟังคำติชมจากหัวหน้า ถ้าหัวหน้าของคุณแสดงออกอย่างสงบและใช้คำพูดที่สร้างสรรค์ คุณอาจเปิดใจรับฟังและปรับปรุงได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหัวหน้าพูดด้วยอารมณ์โกรธหรือใช้น้ำเสียงเชิงตำหนิ คุณอาจรู้สึกถูกโจมตีและปิดกั้นตัวเองจากการรับสารได้ นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าอารมณ์ส่งผลต่อกระบวนการสื่อสารอย่างไร


จิตวิทยาของอารมณ์ในการสื่อสาร

  • อารมณ์เชิงบวกและเชิงลบส่งผลต่อการสื่อสารอย่างไร? 

อารมณ์เป็นตัวกำหนดวิธีที่เรารับรู้และตอบสนองต่อข้อมูลที่ได้รับ อารมณ์เชิงบวก เช่น ความสุข ความมั่นใจ และความกระตือรือร้น มักช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างราบรื่น ผู้ที่อยู่ในสภาวะอารมณ์ดีมักจะเปิดกว้างต่อข้อมูลใหม่ ๆ และสามารถตีความเจตนาของผู้พูดได้อย่างเป็นกลางมากขึ้น ในทางกลับกัน อารมณ์เชิงลบ เช่น ความโกรธ ความเครียด หรือความกังวล อาจทำให้ผู้พูดและผู้ฟังเกิดอคติ และนำไปสู่การตีความผิดหรือเกิดความขัดแย้งได้ง่าย

มีงานวิจัยในด้านจิตวิทยาการรับรู้ที่แสดงให้เห็นว่า อารมณ์สามารถทำให้เรามองโลกผ่าน "เลนส์อารมณ์" (Emotional Filter) เมื่อเรามีอารมณ์บวก เรามักจะมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ดี เห็นโอกาสมากกว่าปัญหา ในขณะที่เมื่อเราอยู่ในสภาวะอารมณ์ลบ เรามักจะมองหาข้อบกพร่อง หรือแม้แต่ตีความคำพูดของผู้อื่นไปในทางลบมากกว่าความเป็นจริง

  • กลไกทางจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ในการสื่อสาร

การสื่อสารที่อารมณ์มีบทบาทสำคัญสามารถอธิบายได้ผ่านกระบวนการทางสมอง ได้แก่ สมองส่วน Amygdala ซึ่งเป็นโครงสร้างสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการประมวลผลอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ที่รุนแรง เช่น ความโกรธหรือความกลัว หาก Amygdala ถูกกระตุ้นมากเกินไป เราอาจตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างหุนหันพลันแล่นโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล นี่คือเหตุผลว่าทำไมบางครั้งเราตอบโต้อย่างรุนแรงเมื่อรู้สึกโกรธ และมักเสียใจในภายหลัง ในทางกลับกัน สมองส่วน Prefrontal Cortex ทำหน้าที่ควบคุมการตัดสินใจและการควบคุมตนเอง สมองส่วนนี้ช่วยให้เราสามารถไตร่ตรองก่อนตอบสนองและคิดเชิงตรรกะมากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่สามารถพัฒนา Prefrontal Cortex ผ่านการฝึกสติ (Mindfulness) หรือการฝึกการควบคุมอารมณ์ จะสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดโอกาสเกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น

  • Emotional Contagion: อารมณ์สามารถแพร่กระจายได้

ปรากฏการณ์ Emotional Contagion หรือ "การแพร่อารมณ์" หมายถึงความสามารถของอารมณ์ที่จะแพร่กระจายจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าหัวหน้าทีมพูดด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นและสร้างพลังบวก สมาชิกในทีมก็มักจะรับอารมณ์นี้ไปด้วย ในขณะที่หากผู้พูดแสดงความหงุดหงิดหรือเครียด อารมณ์นั้นก็อาจส่งผลต่อผู้ฟังได้เช่นกัน

นักวิจัยพบว่าการแพร่อารมณ์เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งผ่านการสื่อสารที่ไม่ได้อยู่ต่อหน้า เช่น ในข้อความแชทหรืออีเมล หากข้อความสื่อถึงอารมณ์ที่รุนแรง เช่น การใช้คำพูดประชดประชัน หรือการใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์มากเกินไป ผู้รับสารก็มีแนวโน้มจะตอบสนองด้วยอารมณ์ที่สอดคล้องกัน ดังนั้น หากเราต้องการให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ เราควรระวังอารมณ์ที่เราถ่ายทอดออกไป เพราะอารมณ์นั้นสามารถแพร่กระจายและส่งผลต่อการตีความของผู้ฟังโดยไม่รู้ตัว

เทคนิคควบคุมอารมณ์ขณะสื่อสาร

  • รักษาความสงบเมื่อต้องเผชิญกับความคิดเห็นที่แตกต่าง

เมื่อเผชิญกับความคิดเห็นที่ขัดแย้ง การตอบสนองด้วยอารมณ์อาจทำให้สถานการณ์บานปลาย เทคนิคสำคัญคือ “Pause and Reflect” หรือการหยุดคิดก่อนตอบโต้ แทนที่จะตอบกลับทันที ลองหายใจลึก ๆ และพิจารณาว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลต่อการตีความของคุณอย่างไร การใช้แนวคิด Reframing หรือ "การปรับกรอบความคิด" สามารถช่วยให้คุณมองความคิดเห็นที่แตกต่างเป็นโอกาสในการเรียนรู้ แทนที่จะเป็นการโจมตีส่วนตัว

  • พัฒนา Self-Regulation และ Emotional Intelligence

การฝึก Self-Regulation หรือ "การควบคุมตนเอง" เป็นกุญแจสำคัญของนักสื่อสารที่ดี การฝึกสติผ่าน Mindfulness หรือการจดจ่ออยู่กับปัจจุบันสามารถช่วยให้เรารับรู้และจัดการอารมณ์ของตนเองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ Emotional Intelligence (EQ) หรือ "ความฉลาดทางอารมณ์" ช่วยให้เรารับรู้อารมณ์ของตนเองและผู้อื่นได้ดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ฝึกจัดการอารมณ์ในการสื่อสารออนไลน์

อารมณ์ในข้อความที่ไม่มีน้ำเสียงและภาษากายในการสื่อสารออนไลน์ เช่น การส่งอีเมล หรือแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดีย อารมณ์ของเราสามารถถูกตีความผิดได้ง่ายเพราะไม่มีน้ำเสียงและภาษากายช่วยกำกับ วิธีที่ดีที่สุดในการลดความขัดแย้งคือการ อ่านทวนข้อความก่อนส่ง และปรับโทนให้นุ่มนวลขึ้น นอกจากนี้ หากได้รับข้อความที่ทำให้เกิดอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิด การตอบกลับทันทีอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง การใช้เทคนิค Delay Response หรือการรอให้ตัวเองสงบลงก่อนตอบกลับ สามารถช่วยให้เราตอบอย่างมีเหตุผลและลดโอกาสเกิดความขัดแย้ง

  • พัฒนาทักษะการฟังเชิงรุก (Active Listening)

การฟังเชิงรุกเป็นทักษะที่สำคัญในการสื่อสาร ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความต้องการและความรู้สึกของผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้น การฝึกฝนทักษะนี้สามารถทำได้โดยการให้ความสนใจเต็มที่ หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะหรือคิดเรื่องอื่นขณะฟัง การสังเกตภาษากาย ทั้งท่าทาง น้ำเสียง และการแสดงออกของผู้อื่น เพื่อเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริง และการตั้งคำถามเพื่อความเข้าใจ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจข้อมูลหรือความรู้สึกของผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง





บทสรุป

การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพไม่ได้หมายถึงการตัดอารมณ์ออกไป แต่เป็นการรู้จักใช้อารมณ์ให้ถูกที่ถูกเวลา การควบคุมอารมณ์ของตัวเองและเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ลดความขัดแย้ง และทำให้การสื่อสารของเราทรงพลังมากขึ้น

ลองฝึกเทคนิคที่ได้กล่าวมา แล้วคุณจะพบว่าการจัดการอารมณ์อย่างชาญฉลาดสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีที่คุณสื่อสารกับโลกได้จริง

 
 
 

Comments

Rated 0 out of 5 stars.
No ratings yet

Add a rating

© 2035 by Site Name. Powered and secured by Wix

bottom of page